เรื่องสั้น ลูกคนเดียว - เรื่องสั้น ลูกคนเดียว นิยาย เรื่องสั้น ลูกคนเดียว : Dek-D.com - Writer

    เรื่องสั้น ลูกคนเดียว

    เป็นเรื่องที่เขียนมาได้นานแล้วครับ แต่อยู่ใน บล็อกที่ exteen กับ ที่ letcomic เลยอยากเอามาลงที่นี่ดูบ้างครับ หวังว่า คงจะชอบกันนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    740

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    740

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 พ.ย. 52 / 13:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ในระหว่างการทำงานที่ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย เสียงผู้คนในสำนักงานแข่งกันพูดจนฟังแล้วน่ารำคาญ เสียงโทรศัพท์ที่ดังอย่างไม่ขาดสาย โดยที่ไม่มีใครสนใจ

      ผม เองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่อยู่ในการทำงานแบบนี้ และผมยังคงทนทำงานที่นั่นต่อไป
      เพราะสภาพเศรษฐกิจส่วนตัว ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยต่อการย้ายที่ทำงานใหม่ สักเท่าไหร่นัก

      ใน ขณะที่ผมกำลังง่วนกับงานที่มากมายอยู่ตรงหน้าและไม่รู้ว่ามันจะมีทางที่จะ เสร็จง่ายหรือไม่ สายตาแว่บหนึ่งของผมก็หันไปมองกับปฏิทินที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะ ขนาดเกือบหนึ่งเท่าครึ่งของฝ่ามือ พื้นสีขาวแต่มีรูปการ์ตูนประดับอยู่ที่มุมด้านขวา พร้อมกับบอกวันที่ตามปฏิทินสากล

      ฮึ จะวันแม่แล้วเหรอ ผมถามตัวเองเบาๆ

      นี่เราไม่ได้กลับไปหาแม่นานเท่าไหร่แล้วนะ ผมพูดในขณะที่เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมา

      ผมรีบกดรับ พร้อมกับเอามือป้องปากขณะพูด เพื่อไม่อยากให้มีเสียงดังเพิ่มขึ้นไปอีก และ ไม่อยากให้เสียงภายนอกเล็ดลอดเข้ามา

      สวัสดีครับ ผมกล่าวต้อนรับ

      ห้าวเหรอ เสียงนุ่ม ๆ นั้น ขานรับออกมา

      ครับ ๆ  ใครเหรอครับ ผมตอบอย่างสงสัย

      นี่ อะไรกัน จำไม่ได้เหรอ เสียงนุ่ม ๆ นั้น ตอบออกมา พร้อมกับชวนให้ผมคิดว่าเสียงนุ่ม ๆ นี้เสียงใคร แล้วผมก็ต้องร้องด้วยความตกใจบวกกับดีใจ

      แม่ !!”

      ไอ้ลูกหมาเอ้ย แม่ของผม พูดออกมาปนเสียงหัวเราะ

      ไม่มาหาแม่เลยนะ นี่มันก็ผ่านไปตั้ง 5 ปีแล้วนะ ตั้งแต่เรียนจบ

      เอ่อ มันยุ่งหน่ะแม่ ผมตอบกลับไป

      ยุ่ง ไม่ยุ่งก็ไม่เห็นโทรมาหาแม่บ้างเลยนะ แม่พูดออกมาเหมือนต่อว่านิดๆ

      เอ่อ ผมนึกอะไรไม่ออก

      แม่ของผมรีบตอบกลับมา ไม่ต้องมาเอ่อ วันแม่ จะมาไหม

      เอ่อผมกำลังนึกอีกครั้ง

      ถ้าว่างก็มาแล้วกัน แต่ว่างไม่ว่างยังไงก็โทรมาบอกก่อนนะ แม่จะได้ผัดผักกระเฉดไว้ให้

      ครับ ๆ ผมตอบกลับไป

      งั้นแค่นี้แหละ แม่โทรมาเฉย ๆ ว่าง ๆ ก็โทรมาบ้าง นึกว่าตายไปแล้ว

      ครับ ๆ ๆ

      ทำงานไปเถอะ แม่ไม่กวนแล้ว แค่นี้นะลูก

      ครับ ๆ สวัสดีครับ

      จากนั้น แม่ผมก็วางโทรศัพท์

      พร้อมกับในใจผมก็นึกตำนิตัวเอง ที่ไม่เคยไปหาแม่มานานแล้ว

      พอหันมองดูปฏิทิน วันหยุดวันแม่ ก็ตรงกับช่วงหยุด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ พอดี เป็นเวลาอันเหมาะที่จะกลับบ้าน

      กลับไปหาแม่อย่างที่แม่อยากให้ไป

       

       

      พอถึงวันแม่ ผมไม่ได้โทรไปบอกแม่ว่าจะมา เพื่อให้แม่ประหลาดใจ

      วันนั้น ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า รีบอาบน้ำ และเตรียมเสื้อผ้าไปพอแค่ 2 ถึง 3 วัน

      จากนั้นเมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จจึงออกเดินทางไปยังสถานีขนส่ง เมื่อไปถึง ผมเห็นผู้คนมากมายที่เตรียมกลับบ้าน

      บางคนสีหน้าดูมีความสุขที่จะได้กลับบ้าน

      บางคนสีหน้าดูเหมือนรีบร้อนรนอะไรบางอย่าง เหมือนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขา

      แม้ทุกคนจะดูวุ่นวาย และ กระตือรือร้น แต่ทุกคนนั้นล้วนแต่มีจุดประสงค์อย่างเดียวกันคือ

      กลับบ้าน

      พอถึงเวลาที่รถจะออก ผมนำกระเป๋าสัมภาระฝากไว้ที่ข้างรถโดยสารแต่ก็ไม่ลืมนำเอากระเป๋าเงินติดตัวไปด้วย

      จากนั้นจึงยื่นตัวให้กับพนักงานต้อนรับ ผมได้ตัวเลขที่ 8 ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่างพอดี

      ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน ผมคิดในใจว่า

      น้องชายผมอีกคนจะเป็นอย่างไร เพราะว่าไม่ได้เจอกันมานาน

      บ้านที่เคยอยู่จะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า

      ต้นไม้ที่เคยทำชิงช้าไว้ มันจะสูงใหญ่เพียงใด

      และแม่

      ยังสุขภาพแข็งแรงเหมือนที่เคยเป็นหรือไม่

       

      ผมใช้เวลานั่งรถจากสถานีขนส่งถึงบ้านประมาณ 5 ชั่วโมง

      ผมรับกระเป๋ามาจากเด็กรถ ที่อยู่ข้างรถบัส จากนั้น

      ผมก็ขึ้นรถสองแถวประจำทาง คันสีแดงที่เคยนั่งอยู่ตอนสมัยเด็ก ๆ กลับบ้าน

      สภาพของรถ ดูเก่ากว่าเมื่อก่อนมาก

      อาจจะเพราะว่ามันถูกใช้งานมานาน หรือ คนขับไม่มีเวลาดูแลมากนัก

      เมื่อรถออก สองข้างทางที่ผ่านตา ดูแตกต่างไปไม่เหมือนก่อน

      ถนนที่เคยเป็นดินลูกรัง เดี๋ยวนี้กลายเป็นถนนลาดยางอย่างดี

      ไม่ต้องทนหัวแดงเหมือนตอนเด็ก ๆ

      แต่สิ่งหนึ่งที่มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปคือ จำนวนคนนั่งรถสองแถวประจำทาง

      ยังคงแน่นเหมือนเดิม แต่ดูจากผู้โดยสารแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวมากกว่า

      เมื่อรถสองแถวจะถึงหน้าบ้าน ผมกดกริ่งลงก่อนที่จะถึงบ้าน

      โดยคิดว่าจะเดินไปหน้าบ้านเพื่อให้แม่ประหลาดใจ

      หลังจากที่ลงจากรถและจ่ายเงินค่าโดยสาร ผมจึงเดินไปบ้านที่อยู่ห่างตรงหน้าประมาณ 100 เมตร

      ระหว่างที่ผมเดินไป

      ผมคิดว่า ผมจะทำอย่างไรดีเมื่อเจอหน้าแม่

      จะพูดอะไรกับน้อง หรือจะเข้าไปไหว้รูปพ่อก่อนดี

      และจะทำอะไรต่อมิอะไรที่ในกรุงเทพไม่มีให้ทำ

      ทั้งตกปลา ทำสวน ผมคิดตลอดทาง 100 เมตรนั้น

       

       

      เฮ้ย ใครวะ มีเสียงตะโกนดังออกมาจากป่าข้างทาง

      แล้วเอ็งเป็นใครวะ ผมตะโกนตอบกลับ

      เสียงลึกลับที่ไม่ปรากฏสัญชาติ ก็ตะโกนตอบกลับมาอย่างเสียงแข็ง ๆ และดูจะหาเรื่อง

       เฮ้ย ถิ่นกูนะเว้ย ไหน ๆ ขอกูดูหน้ามันหน่อยสิ

      เออ กูก็อยากเห็นเหมือนกันหว่ะว่าใคร ผมตอบกลับไปอยากไม่กลัว เพราะถึงยังไง บ้านเราก็อยู่ตรงหน้า

      เสียงเดินฉุบฉับ ๆ ออกมาจากข้างทาง

      ที่เป็นพุ่มไม้สูงเกือบ 2 เมตร ก็มีร่างของชายอายุน่าจะสักประมาณ 18 20 ปี ตัวสูงกว่าผมเดินออกมา

      เมื่อเขาเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้น ก็มองผมด้วยความประหลาดใจ

      ฮะ ๆ ๆ ๆ เฮ้ย  นะ ๆ ๆ นั่น ชายลึกลับเดินออกมา พร้อมกับชี้มาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นเต้น

      แม่ !!!” ชายคนนั้นตะโกนสุดเสียง

      ผมตกใจแต่ก็พยายามเพ็งพินิจชายคนนั้น

      อ้าว เฮ้ย ไอ้หอย นี่หว่า ผมตอบด้วยความดีใจ เพราะชายลึกลับที่อยู่ตรงหน้าผมนั้น คือน้องผมนั่นเอง

      แม้ว่ารูปร่างหน้าตามันจะเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งทรงผมที่ไว้ทรงลากไทร ปะบ่า

      ส่วนสูงที่สูงกว่าผมประมาณสัก 10 เซนติเมตรได้

      ผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน มันยังเป็นเด็ก ม.1 ที่ตัวกะเปียกนิดเดียว แต่อย่างว่า

      เด็กสมัยนี้โตเร็วมาก เพราะว่าโรงเรียนมีนโยบายแจกนมฟรี เด็ก ๆ จึงตัวสูงใหญ่ กว่าสมัยของผมมาก ที่มีแค่ น้ำอมฟูออไรค์ เท่านั้นเอง

      จากนั้น น้องชายผม ก็วิ่งออกมารับกระเป๋าจากมือ พร้อมกับรีบฉุดมือผมให้เดินไว ๆ

      เพื่อจะรีบพาไปให้ถึงบ้านเร็ว ๆ

      ทำไมพี่ไม่โทรมาบอกก่อนหล่ะ ว่าจะมา จะได้ออกไปรับที่สถานี น้องผมพูดด้วยความดีใจ

      พี่อยากจะ Surprise แม่หน่ะ ผมตอบกลับ

      แหม ก็ปล่อยให้แม่รออ่ะนะ ว่าจะมาไม่มา ก็ไม่โทร รู้เปล่า แม่เขารอโทรศัพท์นะเนี่ย น้องผมแอบว่านิด ๆ

      เมื่อไปถึงหน้าบ้าน น้องผมก็รีบนำกระเป๋าเอาไปเก็บ

      ส่วนผมนั้นยืนอยู่หน้าบ้าน แล้วมองมาที่บ้าน

      บ้านของผมเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น แต่ตอนนี้ ชั้นล่างได้ถูกก่อปูนฉาบไว้จัดเป็นห้อง

      รอบๆ บ้านปลูกด้วยต้นมะม่วงเต็มไปหมด

      ผมจึงเดินไปที่ต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ผมเคยทำชิงช้าไว้ตอนเด็ก ๆ และมันยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป

      แตกต่างไปตรงที่มันโตขึ้นมาก และกำลังออกลูกดกทีเดียว

      ผมนั่งตรงชิงช้าที่ผมเคยทำไว้ แม้ว่ามันจะเก่าไปมาก แต่มันยังคงใช้งานได้ดีเหมือนเดิม

      ผมโยกชิงช้านั้นช้า ๆ พร้อมกับเงยหน้ามองดูรอบ ๆ บ้าน

      ลมพัดแผ่ว ๆ ชวนให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ

      เรื่องที่เคยแอบหนีแม่ไปนอนบนต้นมะม่วง ทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้

      สักพักหนึ่ง แม่ของผมก็เดินออกมา ผมจึงรีบลุกขึ้นจากชิงช้า

      สวัสดีครับ ผมกล่าว

      ไหว้พระ ๆ แม่ตอบกลับมา

      ไม่ได้ไหว้พระ ผมไหว้แม่นะ ผมพูดเพื่อหวังให้แม่หัวเราะ

      ไอ้ลูกหมา แม่ตอบกลับมาพร้อมหัวเราะ

      ลูกหมาก็ลูกแม่นะ ผมตอบยียวนกลับมา

      เดี๋ยวจะโดน แม่ผมง้างมือ แต่ก็หัวเราะพร้อมยิ้มเล็กน้อย

      มานานหรือยัง แม่ผมถาม

      มาตั้งแต่ตีห้าแล้วแม่ ผมตอบกลับ

      ทำไมไม่รู้จักโทรมาบอกก่อน ปล่อยให้รอ นึกว่าจะไม่มาซะแล้วนะเนี่ย ข้าวปลาอะไรก็ยังไม่ได้เตรียม แม่ของผมทำคิ้วขมวด ผมรีบตอบกลับว่า

      ก็อยากให้แม่ประหลาดใจหน่ะ

      เออ ๆ มาก็ดีแล้วหล่ะ เดี๋ยวให้ไอ้หอยออกไปซื้อกับข้าวมาให้กินกันหิวแล้วกัน แม่ผมหันหน้าเข้าบ้านพร้อมกับตะโกนว่า

      ไอ้หอย ไปซื้อกับข้าวให้แม่หน่อยซิ

      เออ ๆ เสียงน้องชายผมตะโกนออกมาจากบ้าน

      เฮ้ย ๆ มึงเออ กับใครวะ ผมตะโกนดุเข้าไปในบ้าน แต่ดูแม่ผมไม่ได้คิดถือสาอะไรเลยแม้แต่น้อย

      ผิดจากเมื่อหลายปีก่อน ที่แม่ของผมจะไม่มีทางให้ลูกไม่มีสัมมาคารวะเด็ดขาด

      แต่หลังจากผ่านไปหลายปี เหมือนกับว่า

      แม่จะวางมือไปแล้ว ผมดูแววตาของแม่อ่อนโยนลง ผิดกับเมื่อก่อนที่จะมีไม้แขวนเสื้อเป็นอาวุธประจำกายเสมอ

      เมื่อน้องผมเดินออกมาพร้อมกับเข็นจักรยานคันเก่าที่ผมเคยขี่

      สภาพของมันยังใช้งานได้ดีเหมือนเดิม

      ตัง น้องผมเข็นจักรยานพร้อมกับแบมือมาทางแม่

      แม่ผมหยิบกระเป๋าตังใบเล็ก ๆ จากกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย พร้อมกับหยิบแบงค์ร้อยที่ทับกันหลาย ๆ ใบอยู่ในนั้นมาหนึ่งใบ

      เอาสอง น้องผมยิ้ม พร้อมกับชูนิ้วสองนิ้ว

      แม่ผมก็หยิบให้อีก 1 ใบ

      ผมรีบตอบไปว่า แม่ไม่ต้อง เอาไอ้หอย เอานี่ไป

      ผมควักกระเป๋าเงินจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง

      จากนั้นจึงหยิบเงินให้น้องไป 200 บาท

      ไม่ต้องทอน ผมบอก

      กินอะไร น้องผมถาม

      อะไรก็เอามา ตอนเย็น ๆ ค่อยว่ากันอีกที แม่ผมตอบ

      ครับ ๆ คุณกิ่ง น้องผมย้อน

      พูดดี ๆ ซิ ผมบอกพร้อมกับตบไปที่หัวเบา ๆ หนึ่งที

      น้องผมตะโกนเบา ๆ ตบทำไมวะ เดี๋ยวฉี่แตก

      รีบ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวพี่เขาหิว แม่ผมรีบตัดบท เพื่อให้น้องไปซื้อกำข้าวเร็ว ๆ

      แล้วน้องผมก็ขึ้นค่อมรถ พร้อมกับปั่นออกไป

      ไปแล้วนะ คุณกิ่ง น้องผมบอก

       

      เออ ๆ ไปเร็ว ๆ ผมตอบกลับไป

      แต่พฤติกรรมที่น้องผมแสดงออกไป

      แม่ผมกับไม่มีความรู้สึกอะไร

      นอกจากยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก

      แต่ในใจผม กับโมโหอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

      ทำไมแม่ให้มันทำแบบนั่นหล่ะ ผมพูดแบบไม่พอใจ

      ช่างมันเถอะ แม่ผมตอบเบา ๆ แบบนุ่ม ๆ

      ช่างได้ไงแม่ มันเป็นลูกนะ ผมตอบ

       

      แม่มีมันคนเดียว แม่ผมตอบพร้อมกับหันหน้ามาทางผม

       

      ผมอึ้งไปอึดใจหนึ่ง

       

      ตอน นี้ ก็มีมันนี้แหละที่ยังอยู่ ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวถ้าแม่พูดอะไรมากไป มันก็ไม่อยู่กับแม่หน่ะสิ แต่ห้าวไม่ต้องกลัวนะ มันเป็นเด็กดี แม่พูดแบบยิ้ม ๆ

       

      แต่ ผมตอบ

       

      ช่างมัน ๆ แม่ไม่ถือสามันหรอก แม่ตอบ

      แล้วเป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยไหมเนี่ย แม่ผมพูด แต่ผมไม่ได้ตอบอะไรเลย ได้แต่นิ่งเงียบ

       

      อยู่ดี ๆ น้ำที่ตาก็ไหล ผมทรุดลงกับพื้น

      แม่ ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ

      พร้อมกับพนมมือ กราบลงไปที่เท้าของแม่

      ผมขอโทษ

      ผมปล่อยให้แม่ มีลูกคนเดียวมานาน

      ผม  ผม           ผม

      แม่ของผมไม่พูดอะไร แต่สายตาของท่านเคลือบไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ที่ได้เห็นลูกชายกลับมาหา

      แม่จับที่หัวของผม แล้วลูกผมเบาๆ

       

      แค่ห้าวกลับมาหาแม่ แม่ก็ดีใจแล้ว

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×